การศึกษาพบ ระบบจัดการเครื่องมือแพทย์แบบไร้สายในโรงพยาบาลมีความเสี่ยงรบกวนการทำงานเครื่องช่วยชีวิต เครื่องอาจดับหรือทำงานผิดพลาดและเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย วอนโรงพยาบาลทดสอบและศึกษาผลข้างเคียงของระบบไร้สายให้ดีก่อนจะนำมาใช้จริง นักวิจัยเนเธอร์แลนด์ระบุว่า คลื่นสัญญาณไมโครชิปสำหรับการส่งข้อมูลในระบบแบบไร้สายคือสาเหตุอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากการศึกษาพบว่า อุปกรณ์ประเภทเครื่องช่วยชีวิต โดยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจนั้นจะตอบสนองต่อสัญญาณรบกวนรวดเร็วมาก คลื่นวิทยุจากไมโครชิปเหล่านี้จึงเสี่ยงต่อการถูกรบกวนการทำงานสูง จากการทดสอบกว่า 123 ครั้งในโรงพยาบาลอัมสเตอร์ดัมพบว่า มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของการทดสอบที่อุปกรณ์ช่วยชีวิตมีภาวะแม่เหล็กไฟฟ้าบกพร่องหากมีอุปกรณ์ฝังไมโครชิปถูกวางไว้ใกล้เครื่องช่วยชีวิตในระยะ 1 ฟุต ขณะที่กว่า 20 กรณีเครื่องช่วยชีวิตทำงานผิดพลาดในระดับเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยอาการหนัก ที่สำคัญ กรณีเครื่องช่วยหายใจดับเคยเกิดขึ้นในการทดสอบด้วย เครื่องมือแพทย์ฝังไมโครชิปนั้นมักนำมาใช้ประโยชน์ในแง่การติดตามเครื่องมือในโรงพยาบาล สามารถป้องกันการขโมยได้ดีและอำนวยความสะดวกให้การค้นหาเครื่องในสถานบาลทำได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังถูกวางตัวให้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาปลอมแปลงยาด้วย ดร. Erik Jan van Lieshout ผู้ร่วมวิจัยและนักวิชาการระวังภัยของมหาวิทยาลัย University of Amsterdam's Academic Medical Center ระบุว่า ผลการทดสอบชี้ชัดว่าโรงพยาบาลควรทดสอบระบบไร้สายให้รัดกุมก่อนเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และจะดีมากหากมีการร่วมมือจากฝ่ายโรงพยาบาล หน่วยงานกำกับดูแลจากภาครัฐ และผู้ผลิต มาร่วมแรงทดสอบเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาอย่างพร้อมเพรียง
จาก..http://www.bcoms.net/news/detail.asp?id=8509
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2551
อัสซุสบุกภูธร ส่งพีดีเอใหม่ หวังแบ่ง 30%
นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค (คอมพิวเตอร์) ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายปีนี้มีส่วนแบ่งการตลาดพีดีเอโฟน 30% ของตลาดจาก 20% โดยคาดจะมียอดขายทุกรุ่นรวมกัน 3 หมื่นเครื่อง
บริษัทเดินกลยุทธ์ขยายตลาดไปต่างจังหวัด เพื่อเจาะตลาดลูกค้าวัยรุ่น วัยเริ่มต้นทำงาน และผู้สนใจเทคโนโลยี ซึ่งล่าสุดเปิดตัวพี 320 มินิ จีพีเอส พีดีเอ โฟน ราคา 14,900 บาท เป็น “ไฮไลต์” ขยายสู่ลูกค้าเป้าหมาย จากขนาดกะทัดรัด น้ำหนัก 105 กรัม หน้าจอ 2.6 นิ้ว ระบบทัชสกรีน กล้อง 2 ล้านพิกเซล พร้อมระบบปฏิบัติการวินโดว์ส โมบาย 6.1 โปรเฟสชั่นนัล ตั้งเป้าขายได้ไม่ต่ำกว่า 3 เครื่องต่อเดือน โดยบริษัทจะใช้งบการตลาดร่วม 10 ล้านบาท มีกิจกรรมทั้งจัดโรดโชว์ต่างจังหวัด และการผลิตภาพยนตร์โฆษณาส่วนไตรมาสแรก อัสซุสมีอัตราการเติบโต กว่า 62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเดิมคาดโต 50% เพราะมีผลิตภัณฑ์หลากรุ่น และราคาเครื่องพีดีเอลดต่ำลงจนเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม ทั้งวัยรุ่น วัยเริ่มทำงาน จาก 2-3 ปีก่อนราคาไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท รูปแบบดีไซน์ คุณสมบัติจำกัดอยู่ในกลุ่มลูกค้านักธุรกิจ แต่ปัจจุบันเน้นดีไซน์เข้าถึงทุกกลุ่มลูกค้า แต่ยังคงคุณสมบัติการใช้งานที่โดดเด่น เช่น การมีจีพีเอส แผนที่ทั่วไทยปัจจุบัน รายได้หลักของอัสซุสอยู่ในกรุงเทพฯ มีต่างจังหวัด 20% แต่อนาคตการเติบโตมาจากเมืองหลักๆ ที่ยังขยายได้อีกมาก โดยรุ่นใหม่นี้จะเป็นหลักทำตลาด
...................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น